ดูแลลูกในท้องอย่างไร?

การพัฒนาการของสมองของมนุษย์จะพัฒนาอย่างดีในช่วง 6 สัปดาห์แรก ของการตั้งครรภ์ คุณแม่ควรต้องหาอาหารที่บำรุงสมองมารับประทานอย่างเช่น DHA สารอาหารประเภทกรดโฟลิก (Folic Acid) วิตามินเอ สำคัญต่อระบบประสาท ปอด หัวใจ ตา ระบบสืบพันธ์ กระดูก เป็นต้น

ดูแลตัวเองหลังคลอดอย่างไร?

หลังจากคลอดบุตรแล้วคุณแม่ควรใส่ใจในเรื่องการเคลื่อนไหวของร่างกายให้มาก ควรลุกและเดินบ้าง ไม่ควรนอนอยู่กับที่ เพราะจะช่วยทำให้แผลฝีเย็บสมานกันได้เร็วขึ้น ควรระวังอาการหน้ามืดและไม่ควรยกของหนัก

น้ำนมน้อย คุณแม่ควรทำอย่างไรดี?

เริ่มให้ลูกดูดนมกระตุ้นให้ร่างกายคุณแม่สร้างน้ำนมช้าไป ซึ่งหลังจากคลอดแล้ว ให้ลูกดูดนมผิดวิธี ลูกอมไม่ถึงลานนม การให้ลูกดูดถึงลานนมช่วยทำให้ลูกท้องไม่อืด และช่วยป้องกันมะเร็งเต้านมของแม่ด้วย

ทำอย่างไร?เมื่อลูกเป็นไข้

ปัญหาที่ทำให้คุณแม่ทุกคนหนักใจก็คือการเจ็บไข้ ได้ป่วยของลูกน้อย ซึ่งถ้าป่วยเอง เจ็บเองได้ คุณแม่ก็คงเลือกเอามาเป็นเองอยู่แล้ว แต่ในความเป็นจริงคงไม่ใช่ ดังนั้นเราต้องมาหาทางดูแล และหาวิธีปฏิบัติเมื่อลูกเป็นไข้ ขึ้นมาจะกินอะไร และไม่ควรกินอะไร

ทำไม?ท้องต้องฉีดวัคซีน

วัคซีนถือได้ว่าจำเป็นมาก ถือได้ว่าเป็นชุดเกราะป้องกันลูกน้อยจากโรคต่างๆ คุณแม่จึงควรใส่ใจ และต้องรู้ว่าต้องฉีดวัคซีนอะไรบ้าง แล้วฉีดครบหรือยัง

วันพฤหัสบดีที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2559

ทำไมต้องฝากครรภ์?


เพราะลูกคือสิ่งที่สำคัญที่สุด การฝากครรภ์คือการที่ให้ลูกในครรภ์ได้รับการปกป้องคุ้มครอง ดูแลโดยแพทย์อย่างใกล้ชิด เมื่อมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นจะได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที

ประโยชน์ของการฝากครรภ์
ประการแรก ช่วยทำให้คุณแม่มีสุขภาพร่างกายและจิตใจที่ดี หากคุณแม่มีปัญหาต่างๆในเรื่องการตั้งครรภ์หากไม่มีการฝากครรภ์ ไม่มีแพทย์ให้คำปรึกษาก็อาจจะทำให้เกิดความวิตกกังวลได้ ความวิตกกังวลและเคลียดจะส่งผลโดยตรงกับเด็กในครรภ์ แต่ถ้ามีการฝากครรภ์แพทย์จะให้คำแนะนำอย่างใกล้ชิดและระเอียด คุณแม่ก็จะมีสุขภาพจิตใจที่ดี ส่งผลดีต่อลูกในครรภ์ด้วย
ประการที่สอง ช่วยทำให้ลูกในครรภ์มีความปลอดภัย เพราะแพทย์จะนัดตรวจอยู่เสมอ หากพบอาการผิดปกติ เช่นหากในระหว่างตั้งครรภ์ เกิดครรภ์เป็นพิษ โรคโลหิตจาง หรืออื่นๆ หรือเด็กนอนในท่านอนที่ผิดปกติ หรือมีอาการผิดปกติเสี่ยงกับการแท้ง  แพทย์ก็จะวิเคราะห์สาเหตุช่วยรักษาและแก้ไขได้ทันท่วงที 

วันเสาร์ที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

ลูกเลือดกำเดาออกเกิดจากอะไร?


เลือดกำเดาออกในตอนกลางคืนเกิดขึ้นบ่อยกับเด็กผู้ชาย เลือดกำเดาออกมีสาเหตุมาจากหลายอย่าง เช่น เกิดจากไวรัส อาจจะเป็นครั้งสองครั้งหาย เกิดจากอาการแห้ง หรือเกิดจากโรคเลือดบางชนิด หากเลือดกำเดาออก แล้วพบว่ามีอาการอื่นอีกเช่นมีเลือดออกใต้ผิวหนัง หรือเหงือก อาจจะเป็นโรคลิวคีเมีย หรือโรคเลือดบางชนิดได้ ควรรีบพาลูกไปพบแพทย์โดยเร็ว

วิธีการแก้เมื่อลูกเลือดกำเดาออก คือให้ใช้สำลีอุดรูจมูกไว้ อุ้มลูกให้หัวอยู่สูงกว่าระดับหัวใจ เพราะถ้าให้ลูกนอนราบกับพื้นจะทำให้เลือดหยุดยาก และเลือดจะไหลลงคอลูกได้ หรืออาจจะใช้น้ำแข็งปะคบด้วยก็ได้

ลูกนอนกรนเกิดจากอะไร?


เด็กที่นอนกรนส่วนใหญ่จะอายุตั้งแต่ 1 ขวบขึ้นไป เพราะต่อมทอมซินและอะดีนอยด์โตขึ้น ซึ่งจะส่งผิดให้เกิดการอุดกั้นของทางเดินหายใจ ทำให้เกิดเสียงกรนขึ้น
สาเหตุที่ทำให้ลูกนอนกรน เช่น เกิดจากโรคภูมิแพ้ โรคระบบทางเดินหายใจ ลูกน้ำหนักตัวเยอะ เป็นต้น
การที่ลูกนอนกรน ย่อมส่งผลเสียแน่นอน ผู้เป็นพ่อและแม่ต้องหาทางแก้ไข เพราะการที่ลูกนอนกรน ทำให้ลูกนอนหลับไม่เต็มอิ่ม ทำให้ร่างกายพักผ่อนไม่เต็มที่ ส่งผลต่อการพัฒนาการของเด็ก ทำให้สมาธิสั้น ความจำไม่ดี ก้าวร้าว ซนกว่าปกติ หากคุณแม่ คุณพ่อ ปล่อยให้ลูกนอนกรนโดยไม่หาวิธีรักษาหรือแก้ไข อาจทำให้ลูกเป็นโรคหัวใจโต และล้มเหลว ถึงแก่ชีวิตได้

วิธีแก้ปัญหาการนอนกรนของลูก
ประการแรก ดูว่าลูกมีน้ำมูกหรือไม่ เป็นหวัดหรือไม่ ถ้าเป็นหวัดน้ำมูกอาจจะแข็งตัวทำให้ลูกหายใจลำบาก หรือมีน้ำมูกมากเกินไป ทำให้หายใจลำบาก คุณแม่คุณพ่อ ต้องทำการล้างจมูกลูกด้วยน้ำเกลือ ควรเรียนรู้การล้างจมูกจากแพทย์ ในตอนแรกให้แพทย์ทำให้ดูก่อน แล้วกลับมาบ้านให้ทำเองเราสามารถทำเองได้ ง่ายๆ
ประการที่สอง หากไม่เป็นหวัด ลูกอาจจะเป็นภูมิแพ้ หรืออื่นๆ ควรพาลูกไปพบแพทย์เล่าอาการให้แพทย์ฟัง 


วันศุกร์ที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

ลูกมีอาการแบบนี้ ต้องพบแพทย์ด่วน!



เราสามารถสังเกตุอาการของลูกได้ ว่ามีการผิดปกติหรือปกติ แล้วถ้ามีอาการอย่างไรที่เรียกว่าผิดปกติ  ถ้าพบว่าลูกมีอาการดังต่อไปนี้ถือว่าผิดปกติ ให้รีบไปพบแพทย์ทันที เพื่อที่จะได้ทำการรักษาโดยเร็ว

อาการที่ 1 ลูก อายุ 2 เดือนแล้ว คอยังไม่แข็ง โดยปกติ อายุ 2 เดือนคอต้องแข็งและชันคอได้แล้ว คอยังไม่แข็งอาจเกิดจากกล้ามเนื้ออ่อนแรง
อาการที่ 2 ลูกอายุ 3 เดือนกว่าแล้ว ยังหยิบจับอะไรไม่ได้เลย หยิบอะไรก็หล่น อาจเกิดจากกล้ามเนื้ออ่อนแรง
อาการที่ 3 ลูกอายุ 9 เดือนกว่าแล้วยังนั่งเองไม่ได้เลย อาจเกิดจากกล้ามเนื้อมัดใหญ่ไม่แข็งแรง หากยังนั่งไม่ได้ ส่งผลกระทบต่อการยืนและเดินแน่ เพราะการพัฒนาจะล่าช้าไปอีก

อาการที่ 4 ลูกอายุ 18 เดือนแล้วยังเดินไม่ได้ ปกติแล้วต้องเดินได้แล้ว ถ้ายังเดินไม่ได้ให้รีบปรึกษาแพทย์

คลอดก่อนกำหนดเกิดจากอะไร?


การคลอดก่อนกำหนดเกิดจากการผิดปกติของการตั้งครรภ์ การผิดปกตินี้ก็เป็นผลมาจากพฤติกรรมของคุณแม่ ที่ไปทำให้การตั้งครรภ์มันผิดปกติ เพราะฉนั้นคุณแม่ควรเลี่ยงพฤติกรรมตนเองดังต่อไปนี้

พฤติกรรมแรก ดื่มน้ำน้อยเกินไป ทำให้เกิดอาการเจ็บท้อง ทำให้คลอดก่อนกำหนดได้
พฤติกรรมที่สอง ปล่อยให้น้ำหนักน้อยหรือเพิ่มมากจนเกินไป ควรใส่ใจเรื่องน้ำหนักให้สมดุล
พฤติกรรมที่สาม ปล่อยให้ตัวเองมีความเครียดบ่อยครั้ง ควรหลีกเลี่ยงความเคลียด ปล่อยวางซะบ้างเพื่อลูก
พฤติกรรมที่สี่ ไม่ดูแลสุขภาพเหงือก ถ้าเป็นโรคเหงือกจะส่งผลให้มดลูกหดตัว อาจทำให้คลอดก่อนกำหนดได้
พฤติกรรมที่ห้า ชอบอั้นปัสสาวะ การอั้นปัสสาวะจะทำให้มดลูกบีบรัดตัวถี่ขึ้น อาจทำให้เป็นโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ

วันพฤหัสบดีที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

วิธีป้องกันไม่ให้ลูกเกิดมาพิการหรือผิดปกติ


คุณแม่และคุณพ่อมือใหม่หลายๆคน หรือแม้กระทั่งมือเก่าก็ตาม ความต้องการอย่างแรกคือให้ลูกน้อยที่กำลังจะเกิดมาบนโลกใบนี้มีร่างกายที่สมบูรณ์ครบ 32 ประการ อย่างอื่นค่อยว่ากัน เรื่องนี้จริงเป็นอย่างยิ่งคงไม่มีใครกล้าเถียง แล้วเราจะมีวิธีป้องกันไม่ให้ลูกเกิดมาพิการหรือผิดปกติอย่างไร วันนี้เลยเอามาให้อ่านกันดู

ประการแรก สำหรับการป้องกันไม่ให้ลูกเกิดมาพิการหรือผิดปกติคือ คุณต้องไม่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ไม่ว่าจะเป็นเหล้าหรือเบียร์และอื่นๆ จะทำให้เกิดภาวะที่เรียกว่า fetal alcohol syndrome (FAS) อาจส่งผลให้ลูกในท้องพิการหรือเสียชีวิตได้

ประการที่สอง คุณแม่ต้องไม่สูบบุหรี่หรือเข้าไปใกล้คนหรือแหล่งที่มีควันบุหรี่เด็ดขาด เพราะควันบุหรี่อาจจะทำให้เด็กพิการหรือเสียชีวิตได้ หรือถ้าคลอดออกมาในอนาคตไม่นานอาจจะเป็นโรคมะเร็งได้

ประการที่สาม หลีกเลี่ยงการสัมผัสหรือสูดดมสารเคมีต่างๆระหว่างตั้งครรภ์อยู่ อย่างเช่นการล้างห้องน้ำโดยใช้น้ำยาล้างห้องน้ำ สารเคมีตัวนี้ถ้าสูดนมหรือสัมผัสโดยตรง อาจจะส่งผลกระทบต่อลูกในครรภ์ได้ ควรที่จะสวมถุงมือ ใส่หน้ากาก ทางที่ดีความให้คุณพ่อเป็นคนทำนะ.....ช่วงนี้

ประการที่สี่ ไม่ควรกินยาบางอย่างบางประเภทเช่น ยาแอสไพริน ยาสเตร็ปโตมัยซิน และยาเพนนิซิลิน หรือยาแก้แพ้ต่างๆ เพราะสิ่งที่คุณแม่กินไปก็เหมือนลูกกินด้วย แต่ลูกภูมิคุ้มกันน้อยกว่า ถ้าจะกินยาอะไรควรขอคำปรึกษาจากแพทย์ก่อนเสมอ

ประการที่ห้า คือต้องกินโฟลิกแอซิดในปริมาณ 5 มิลิกรัม หรือประมาณ 1 เม็ด ต่อวัน เพราะโฟลิกช่วยป้องกันการเกิดความพิการต่างๆของทารกในครรภ์ได้ เช่น ปากแหว่ง เพดานโหว่ หลอดประสาทไม่ปิด โรคหัวใจพิการแต่กำเนิด แขนขาพิการแต่กำเนิด นอกจากนั้นยังช่วยลดภาวะโลหิตจางของแม่ตั้งครรภ์ด้วย

เมนูอาหารแม่ลูกอ่อน - ไก่ผัดขิง



เมนูอาหารเพิ่มน้ำนมด้วยไก่ผัดขิง
ขิงช่วยทำให้ร่างกายอบอุ่น และสามารถช่วยป้องกันโรคหวัดได้ด้วย
ส่วนผสมและสัดส่วน
1.เนื้อไก่ 150 กรัม
2.ขิง 30 กรัม
3.กระเทียม 4-5 กลีบ
4.หอมหัวใหญ่ ¼ ถ้วย
5.พริกชี้ฟ้า ½ ถ้วย
6.ต้นหอม 2 ต้น
7.เห็ดหูหนู 1 ถ้วย
8.ชีอิ๊วขาว 1 ช้อนโต๊ะ
9.น้ำมันหอย 2 ช้อนโต๊ะ
10.น้ำตาลทราย 1 ช้อนชา
วิธีปรุง
1. นำไก่มาล้างให้ความสะอาด หั่นเป็นชิ้นพอดีคำ แล้วนำไก่ที่หั่นนำมาหมักกับซีอิ๊วขาว ทิ้งไว้  5 นาที
2. นำเห็ดหูหนู ขิง หอมหัวใหญ่ พริกชี้ฟ้า กระเทียม มาล้างทำความสะอาด หั่นเห็ดเป็นชิ้นพอดีคำ ซอยขิงเป็นเส้น ๆ หั่นหอมหัวใหญ่และพริกชี้ฟ้า  และสับกระเทียม แล้วพักไว้
3. ตั้งไฟให้น้ำมันเดือดพอประมาณ ใส่กระเทียม เจียวจนหอม จากนั้นใส่ไก่ที่หมักไว้ลงไปผัดจนเกือบสุก
4. ใส่ขิงและหัวหอมใหญ่ลงผัดคลุกเคล้ากับไก่จนไก่สุกได้ที่ ใส่เห็ดหูหนูตามลงไปผัดให้เข้ากัน
5. ปรุงรสด้วยน้ำมันหอย น้ำตาลทราย ปรุงรสตามใจชอบ จากนั้นใส่ต้นหอม และพริกชี้ฟ้าลงไปผัด คลุกเคล้าให้ส่วนผสมเข้ากันอีกครั้ง  เป็นอันเสร็จเรียบร้อย ทานได้

วันพุธที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

เมนูอาหารแม่ลูกอ่อน - แกงเลียงหัวปลี


เมนูอาหารเพิ่มน้ำนมด้วยแกงเลียงหัวปลี
หัวปลีมีธาตุเหล็กสูง ช่วยบำรุงเลือด แกงเลียงหัวปลีจึงเหมาะสำหรับเป็นอาหารเพิ่มน้ำนมสำหรับแม่ลูกอ่อนได้เป็นอย่างดี
ส่วนผสม และสัดส่วน
กุ้งสด   จำนวน แล้วแต่ความเหมาะสม
หัวปลี  1  หัว
ใบแมงลัก  2  ถ้วย
เห็ดต่างๆ ตามที่ชอบ
บวบปลอกเปลือกแล้วหั่น 2 ถ้วย
ฟักทองปลอกเปลือกหั่นเป็นชิ้นเล็ก  1  ถ้วย
น้ำปลา , น้ำเปล่า
ส่วนผสมพริกแกงเลียง ประกอบด้วย กุ้งลวกสุก, กะปิ, หอมแดง, พริกไทยเม็ด, กระชาย
วิธีปรุง
1.ทำพริกแกงเลียง โดยนำพริกไทยมาตำให้ละเอียด ใส่กะปิ กระชาย และหอมแดง ลงไป โขลกพอแหลก เติมกุ้งลงไปโขลกให้เข้ากัน
2.ต้มน้ำใส่ภาชนะพอเริ่มเดือด ใส่พริกแกงลงไป คนให้ละลาย ใส่กุ้งสดลงไป พอสุกใส่ผักต่างๆ ลงไป ยกเว้นใบแมงลัก
3.คนให้เข้ากัน ลองชิมรส ถ้าไม่เค็มเติมน้ำปลา ถ้าชอบเผ็ดมากสามารถใส่พริกขี้หนูใส่ลงไปได้  พอน้ำแกงเดือด ใส่ใบแมงลักคนให้เข้ากันปิดฝาแล้วยกลง เป็นอันเสร็จเรียบร้อย ทานได้

นมแม่ดีอย่างไรต่อลูก?


ในน้ำนมของแม่เต็มไปด้วยคุณค่าทางอาหาร ช่วยทำให้ลูกที่กินนมแม่ร่างกายแข็งแรง ไม่เจ็บป่วยง่าย ป้องกันการติดเชื้อในระบบหายใจ ไม่เป็นภูมิแพ้ต่างๆ คุณแม่ควรให้ลูกกินนมตั้งแต่แรกเกิดช่วง 30 นาทีแรก ถึง 1 ชั่วโมงแรก จนถึงระยะเวลา 6 เดือน หรือจะให้กิดยาวไปจน 1 ปี ก็ได้ เพราะน้ำนมของแม่มีประโยชน์อยู่แล้วไม่มีโทษ

การให้ลูกกินนมแม่เป็นอะไรที่สะดวกที่สุด ลูกหิวแม่ก็เปิดเต้าให้กินได้เลย ไม่ต้องเตรียมขวดนม เสียเวลาชง ไม่ต้องมาล้างขวดนม ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายแพง แค่คุณแม่ต้องเลือกกินอาหารที่มีประโยชน์ อาหารที่สร้างน้ำนม และควรเลี่ยงอาหารที่จะทำให้น้ำนมเปลี่ยนรสชาติ ทำให้ลูกท้องเสีย หรือเป็นโรคต่างๆ สรุปแม่ที่ให้นมลูกควรที่จะต้องตระหนักและใส่ใจในเรื่องการกินของต้องเองอย่างมากๆ การให้ลูกกินนมแม่จะเป็นการสร้างความสัมพันธ์ความรักความผูกพันธ์ระหว่างแม่กับลูกได้เป็นอย่างดี 

วันอังคารที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

ทาดอกอัญชันให้ลูกจะทำให้คิ้วดก ผมดก จริงหรือไม่?



ความเชื่อแต่โบราณได้เล่าขานบอกต่อๆกันมา ว่าถ้าอยากให้ลูก คิ้วดก ผมดก ต้องใช้ดอกอัญชันทาสิ เชื่อว่าคุณแม่หลายๆท่านคงทำกัน ครอบครัวผมก็เช่นกันครับ ภริยาผมนิจัดหนักเลยครับ ตามภาพประกอบ แต่จะจริงหรือไม่นั้น วันนี้ได้รู้กัน

ดอกอัญชัน หลายๆท่านรู้จักดี คุณสมบัติคือช่วยในการเร่งการงอกใหม่ของรากผม รากขน ช่วยบำรุงหนังศีรษะ และช่วยป้องกันผมหงอกก่อนวัย  ดังสรรพคุณและคุณสมบัติที่กล่าวมาของดอกอัญชัน สรุปได้เลยว่า
การทาคิ้วหรือศีรษะเด็ก ด้วยดอกอัญชัญแล้ว สามารถทำให้เด็กคิ้วดก และผมดกได้จริงครับ

แต่กระนั้นแล้วคุณแม่ควรใช้ดอกอัญชันกับลูกน้อยที่มีอายุตั้งแต่ 1 เดือนขึ้นไปนะครับ เพราะเด็กอายุตั้งแต่แรกเกิดถึง 1 เดือน ผิวบอมบางมากเกินไป ถ้าใช้ดอกอัญชันอาจจะเกิดอาการแพ้ได้ครับ


วิธีการทำ ก็หาดอกอัญชันมาแล้วล้างให้สะอาด บดเอาน้ำและทาตรงบริเวณคิ้วหรือศีรษะลูก ทิ้งไว้ประมาณ 1-2 ชั่วโมงแล้วล้างออก ทำบ่อยๆครับ เป็นประจำ ลูกผมนี่ดกขึ้นมานิดนึงเลย แต่เรื่องดั้งของลูกผมนี่ไม่รู้จะใช้ดอกอะไรดีครับ ให้ดั้งโด่งขึ้นมา ใครมีวิธีบอกมั่งครับ

วันจันทร์ที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

ทำไมท้องต้องฉีดวัคซีน?


วัคซีนถือได้ว่าจำเป็นมาก ถือได้ว่าเป็นชุดเกราะป้องกันลูกน้อยจากโรคต่างๆ คุณแม่จึงควรใส่ใจ และต้องรู้ว่าต้องฉีดวัคซีนอะไรบ้าง แล้วฉีดครบหรือยัง

วัคซีนที่ต้องฉีดก่อนตั้งท้อง
วัคซีนแรก วัคซีนอีสุกอีใส ฉีดก่อนตั้งท้อง 2 เดือน ต้องฉีดจำนวน 2 เข็ม ฉีดเข็มที่ 2 ห่างจากเข็มแรก 1 เดือน การติดเชื้ออีสุกอีใสขณะตั้งท้อง โดยเฉพาะอายะครรภ์ไม่ถึง 20 สัปดาห์ มีโอกาสสูงที่เด็กจะพิการ
วัคซีนที่สอง วัคซีนหัด-หัดเยอรมัน-คางทูม  ฉีดก่อนตั้งท้อง 1 เดือน ฉีดจำนวน 1 เข็ม หากไม่ฉีดแล้วเป็นขึ้น จะทำให้เด็กพิการหรือเสียชีวิตได้ และไม่ควรฉีดขณะตั้งท้องเพราะอันตรายมาก
วัคซีนที่สาม วัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูกหรือเอชพีวี  ฉีดจำนวน 3 เข็ม ฉีดเข็มที่ 2 ห่างจากเข็มแรก 1-2 เดือน และเข็มที่ 3 หากจากเข็มแรก 6 เดือน

วัคซีนที่ต้องฉีดขณะตั้งท้อง
วัคซีนแรก  วัคซีนบาดทะยัก ฉีดจำนวน 3 เข็ม
วัคซีนที่สอง วัคซีนคอตีบและไอกรน ฉีดจำนวน 1 เข็ม
วัคซีนที่สาม  วัคซีนไข้หวัดใหญ่    ฉีดจำนวน 1 เข็ม
วัคซีนที่สี่   วัคซีนไวรัสตับอักเสบบี  ฉีดจำนวน 3 เข็ม

ทำอย่างไร? เมื่อลูกเป็นไข้


ปัญหาที่ทำให้คุณแม่ทุกคนหนักใจก็คือการเจ็บไข้ ได้ป่วยของลูกน้อย ซึ่งถ้าป่วยเอง เจ็บเองได้ คุณแม่ก็คงเลือกเอามาเป็นเองอยู่แล้ว แต่ในความเป็นจริงคงไม่ใช่ ดังนั้นเราต้องมาหาทางดูแล และหาวิธีปฏิบัติเมื่อลูกเป็นไข้ ขึ้นมา ซึ่งการเป็นไข้ ตัวร้อน นั้น แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ
ประเภทแรก เป็นไข้ ตัวร้อน ธรรมดา หรือไข้ต่ำ ซึ่งเด็กจะมีอุณหภมิสูง 37.5 -38.5 องศาเซลเซียส คุณแม่ต้องเริ่มทำการเช็ดตัวให้ลูกก่อน เพื่อให้ไข้ลด เมื่อเช็ดตัวแล้ว อุณหภูมิจะลดลงประมาณ 1 องศาเซลเซียส และอาจจะหาซื้อยาแก้ไข้เด็กมาให้ลูกกินด้วยก็ได้ **ถ้าเป็นเด็กแรกเกิดถึง 6 เดือน ต้องระวังเรื่องการกินยาเพราะอาจมีผลต่อตับของเด็ก ถ้าอยู่ในช่วงอายุนี้ ให้ใช้การเช็ดตัวเป็นหลัก แต่ถ้าจำเป็นจริงๆที่จะต้องกินยา ก็ควรกินยาพาราเซตามอน มีทั้งชนิดหยดและชนิดน้ำ หรือไม่ก็ควรปรึกษาหมอก่อน**
ประเภทที่สอง เป็นไข้ ตัวร้อน อันตราย หรือไข้สูง ซึ่งเด็กจะมีอุณหภูมิสูงกว่า 38.5 องศาเซลเซียส อาจทำให้เด็กชัก และช็อกได้ ดังนั้นคุณแม่จึงต้องช่วยลูกลดอุณหภูมิในร่างกายด้วยการเช็ดตัว และรีบพาไปพบแพทย์โดยเร็ว เมื่อพบหมอแล้วกลับมาบ้านก็ควรเช็ดตัวให้ลูกบ่อยๆ บวกกับการกินยาที่แพทย์ให้มาด้วย ** ยาลดไข้เด็กเมื่อมีไข้สูงที่นิยมให้เด็กกินกันคือ ยาลดไข้ไอบูโปรเฟน**

วิธีการเช็ดตัว
ถอดเสื้อผ้าเด็กออกให้หมด ชุบผ้ากับน้ำ เช็ดตรงบริเวณซอกคอ รักแร้ ขาหนีบ หน้าอก และหลัง การเช็ดให้เช็ดย้อนรูขุมขน เพื่อให้การเช็ดตัวเปิดรูขุมขน เพื่อระบายความร้อนในร่างกายเด็กออกมา

สาเหตุที่ทำให้เด็กเป็นไข้
สาเหตุหลักๆ คือ เกิดจากการติดเชื้อไวรัส ซึ่งการติดเชื้อไวรัสนี้ส่วนใหญ่ก็จะหายไปเอง หรือเป็นไขจากการติดเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งการติดเชื้อแบคทีเรียจะรุนแรงกว่าการติดเชื้อไวรัส


การสังเกตุว่าลูกเมื่อลูกเป็นไข้ ตัวร้อน ว่าลูกเป็นโรคอะไร
ลูกเป็นไข้ ตัวร้อน เมื่อไข้ลดลงแล้ว สังเกตุว่าผิวหนังของลูกจะเป็นผื่น ลูกอาจจะเป็นโรคส่าไข้
ลูกเป็นไข้ ตัวร้อน และมีอาการไอ หายใจหอบ อาจเป็นไข้หวัด หรือไข้หวัดใหญ่
ลูกเป็นไข้ ตัวร้อน และมีอาการอาเจียน มีจุดเลือดออกที่ผิวหนัง อาจเป็นโรคไข้เลือดออก (เชื้อไวรัสเดงกี)
ลูกเป็นไข้ ตัวร้อน และมีอาการอาเจียนและถ่ายท้อง อาจติดเชื้อไวรัสโรต้า
ลูกเป็นไข ตัวร้อน และมือไปจับที่หูบ่อยๆ อาจจะเป็นโรคหูชั้นกลางอักเสบ
ลูกเป็นไข้ ตัวร้อน ไข้สูง อย่างเดียว อาจเป็นโรคทางเดินปัสสาวะอักเสบ
ลูกเป็นไข้ ตัวร้อน มีอาการเซี่ยงซึม อาจเป็นโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบและติดเชื้อในกระแสเลือด ถ้าปล่อยไว้อาจจะมีอาการชักได้ ควรรีบไปพบหมอโดยเร็ว

วิธีป้องกันไม่ให้เด็กเป็นไข้
หลีกเลี่ยงที่จะพาเด็กไปที่ชุมชน ที่มีคนเยอะๆ แออัด เช่นห้างสรรพสินค้าต่างๆ โรงพยาบาล ควรหมั่นล้างมือ ฉีดวัคซีนป้องกันโรคต่างๆ และที่สำคัญที่สุดควรให้ลูกกินนมแม่



วันศุกร์ที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

อาบน้ำให้เด็กทารกอย่างไร?


วิธีอาบน้ำให้เด็กทารก
การอาบน้ำให้เด็กทารกแรกเกิดนั้น ไม่จำเป็นที่จะต้องอาบให้ทุกวัน สัปดาห์ล่ะ 1-2 ครั้งก็เพียงพอแล้ว ใช้การเช็ดตัว และเช็ดใบหน้าเด็ก ดูเรื่องความอับชื้นของผ้าอ้อมด้วย การอาบน้ำให้เด็กทารกเป็นเรื่องที่ต้องใช้ความระมัดระวัง เพราะเด็กจะดิ้น และตัวก็ลื่นด้วย ก่อนที่จะอาบน้ำให้เด็กทารกควรเตรียมอุปกรณ์ในการอาบน้ำให้เรียบร้อย ไม่ว่าจะเป็นผ้าขนหนู สบู่ แชมพู ฯ อย่าทิ้งให้เด็กทารกอยู่ในอ่าง แล้วไปหาอุปกรณ์เพราะอาจจะทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ แต่ถ้าเด็กทารกแรกเกิดใหม่ๆ แค่ใช้น้ำสะอาดก็เพียงพอแล้วไม่ควรใช้สบู่ หรือแชมพูแต่อย่างใด


อุปกรณืในการอาบน้ำให้เด็กทารก
อ่างอาบน้ำสำหรับเด็ก
สบู่และแชมพู (หากเป็นเด็กทารกแรกเกิดช่วงแรกๆไม่ต้องใช้)
ฟองน้ำ
ผ้าเช็ดตัว

วิธีอาบน้ำ
ผสมน้ำลงในอ่างอาบน้ำ วัดอุณหภูมประมาณ 36-37 องศาเซลเซียล เริ่มต้นด้วยการสระผมให้เด็กก่อน ใช้นิ้วมือปิดหูเด็กด้วยกันน้ำเข้าหู ตอนสระผมนี้ยังไม่ต้องนำเด็กลงอ่างอาบน้ำเพราะถ้าสระผมด้วยอาบน้ำด้วยในอ่าง จะทำให้เด็กอยู่ในน้ำนานเกินไป เมื่อสระผมเสร็จแล้วก็นำเด็กลงอ่างอาบน้ำได้ ใช้เวลาประมาณ 2-3 นาทีพอในการอาบน้ำแต่ละครั้ง อาบน้ำเสร็จก็เช็ดตัวเด็กให้แห้ง ใส่ชุดให้ลูก  ทำความสะอาดสะดือด้วยแอลกอฮอล์ ในกรณีที่สะดือไม่ขาด

อาหารที่ต้องเลี่ยง สำหรับแม่ให้นมลูก!


อาหารที่ต้องเลี่ยง สำหรับแม่ให้นมลูก
ทำไมคุณแม่ให้นมลูกต้องระวังเรื่องการกินอาหารด้วย ก็เพราะว่าอาหารที่กินลงไปนั้นถ้าไม่เลือกให้ดีอาจเป็นอันตรายกับลูกน้อยได้ มันส่งผลกระทบโดยตรง อาจทำให้ลูกท้องเสีย ทำให้น้ำนมมีรสชาติที่เปลี่ยนไป ทำให้เด็กไม่กินนม เพราะฉนั้นต้องเลือกที่จะกินอะไร และไม่ควรกินอะไร
  
อาหารที่คุณแม่ต้องเลี่ยงมีดังนี้
อาหารแปรรูปทั้งหลาย ขนมเค้ก ทำให้เอ็นไซม์ทำงานลดลง มีผลต่อคุณภาพของน้ำนมแม่ที่ให้ลูก
อาหารประเภทหมักดอง จะส่งผลทำให้ลูกน้อยท้องเสียได้
อาหารที่รสเผ็ดจัด จะส่งผลให้น้ำนมมีรสเผ็ด ทำให้ลูกน้อยปวดท้องได้
ผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว เช่น สับปะรด มะนาว ส้ม เป็นต้น เพราะจะทำให้ลูกน้อย ปวดท้องได้
แอลกอฮอล์ เพราะมีผลเสียต่อการพัฒนาการของเด็ก และทำลายเซลล์สมองของเด็กโดยตรง
อาหารประเภทที่ผสมคาเฟอีน คุณแม่ให้นมลูกไม่ควรดื่มชาและกาแฟ เพราะคาเฟอีนจะทำลายระบบประสาทของทารก ทำให้พัฒนาการของสมองช้า  ถ้าพ้น 3 เดือนไปแล้ว ทานได้แต่พอเหมาะ


ช็อคโกแลต
เพราะบางยี่ห้อมีคาเฟอีน หรือแอลกอฮอล์ผสมอยู่ด้วย ซึ่งคาเฟอีนจะทำลายระบบประสาทของทารก ทำให้พัฒนาการของสมองช้า
บล็อกโคลี่ และกระหล่ำปลี เพราะจะทำให้เกิดก๊าซในกระเพาะ ทำให้เด็กท้องอืด และปวดท้องได้
กระเทียม เป็นเครื่องปรุงที่มีกลิ่นแรง อาจทำให้น้ำนมมีกลิ่น ลูกอาจไม่ยอมกินนมได้
ถั่วลิสง และข้าวสาลี เพราะมีหลายกรณีที่เด็กมีอาการแพ้
อาหารประเภทปลาน้ำลึก เพราะปลาน้ำลึกจะมีสารปรอทมาก ถ้าจะกินอาหารประเภทปลา ควรเลือกปลาดุก และปลาแซลมอน เพราะมีสารปรอทเจือน้อยสุด

คุณแม่ที่ให้นมบุตร ควรกินอาหารอะไร?
ใบกระเพรา ใบยี่หร่า เป็นอาหารที่มีรสเผ็ดร้อน เรียกน้ำนมได้ดี
ผักใบเขียว เพราะมีธาตุเหล็ก แคลเซียม และกรดโฟลิคสูง ช่วยเสริมน้ำนมและช่วยป้องกันมะเร็งเต้านมได้
งาดำ เป็นอาหารที่อุดมไปด้วยแคลเซียม ช่วยเพิ่มน้ำนม
หน่อไม้ฝรั่ง มีวิตามินเอ และวิตามินเค ช่วยกระตุ้นฮอร์โมนในการให้นมบุตรได้ดี
มะละกอสุก ช่วยทำให้ระบบประสาทคุณแม่ผ่อนคลาย ทำให้คุณแม่ไม่เคลียด ส่งผลให้น้ำนมไหลดีขึ้น
ปลาแซลมอน เพราะมีกรดไขมันดี มีความสำคัญกับเด็กทารก ช่วยบำรุงน้ำนม มีสารปรอทเจือปนน้อยที่สุด

น้ำนมน้อย คุณแม่ควรทำอย่างไรดี?

น้ำนมน้อย คุณแม่ควรทำอย่างไรดี?
สาเหตุของน้ำนมน้อย
ประการแรก เริ่มให้ลูกดูดนมกระตุ้นให้ร่างกายคุณแม่สร้างน้ำนมช้าไป ซึ่งหลังจากคลอดแล้ว
ประการที่สอง ให้ลูกดูดนมผิดวิธี ลูกอมไม่ถึงลานนม การให้ลูกดูดถึงลานนมจะช่วยทำให้ลูกท้องไม่อืด และช่วยป้องกันมะเร็งเต้านมของแม่ด้วย
ประการที่สาม ลูกดูดนมแม่ไม่บ่อยพอ คือน้อยกว่า 8 ครั้งต่อวัน ให้ลูกกินนมผสม ดื่มน้ำ หรืออาหารเสริม ทำให้เด็กอิ่มไม่ยอมกินนม เพราะฉะนั้นในระยะเวลา 6 เดือน ควรให้ลูกกินนมแม่อย่างเดียว
ประการที่สี่ เกิดจากความเครียดของคุณแม่  คุณแม่พักผ่อนน้อย ทานอาหารน้อย ไม่ครบ 5 หมู่
ประการที่ห้า กินยาคุมกำเนิดชนิดที่เป็นฮอร์โมนรวมในช่วง 6 เดือน แรกหลังคลอด


ทำอย่างไรให้น้ำนมเพิ่มขึ้น?
คุณแม่ต้องให้นมลูกมากขึ้นและนานขึ้น ไม่ควรน้อยกว่า 8 ครั้งต่อวัน หากไม่ได้อยู่กับลูกให้ปั้มน้ำนมเก็บไว้ให้ลูกกิน
กระตุ้นเต้านม โดยการประคบด้วยน้ำอุ่น 3-5 นาที ก่อนให้นม นวดเต้านมและคลึงหัวนมเบาๆ
เวลาลูกดูดนม ให้ดูดโดยอมให้ถึงลานนม เพราะเป็นการดูดนมที่ถูกวิธี
เลี่ยงการให้นมผสม หรืออาหารเสริม น้ำ ก่อนอายุ 6 เดือน
ในกรณีที่ลูกดูดนมแล้วหลับก่อนอิ่ม ควรกระตุ้นให้ลูกดูดนมต่อ โดยขยับเต้านมแล้วบีบน้ำนมเข้าปากลูกเป็นระยะๆ จนกว่าลูกจะอิ่มและคายปากออกเอง
ในช่วงที่น้ำนมน้อย ไม่พอให้ลูกกิน หากจะต้องให้กินนมผสม อย่าใส่ขวดนมให้ลูกดูด ให้หยดนมลงบริเวณเต้านมแม่ ขณะที่ลูกดูดนม หยดทีละน้อยๆ เมื่อน้ำนมสร้างเสร็จก็ลดปริมาณหยดนมผสมไปเรื่อยๆ จนงดนมผสมได้ในที่สุด

ดูแลตัวเองหลังคลอดอย่างไร?


ดูแลตัวเองหลังคลอดอย่างไร?
ดูแลตัวเองหลังคลอดโดยวิธีธรรมชาติ(คลอดเอง)
การเคลื่อนไหวของร่างกาย
หลังจากคลอดบุตรแล้วคุณแม่ควรใส่ใจในเรื่องการเคลื่อนไหวของร่างกายให้มาก ควรลุกและเดินบ้าง ไม่ควรนอนอยู่กับที่ เพราะจะช่วยทำให้แผลฝีเย็บสมานกันได้เร็วขึ้น ควรระวังอาการหน้ามืดและไม่ควรยกของหนัก การนั่งควรนั่งท่าพับเพียบ เพราะท่านี้จะทำให้ไม่เจ็บแผลมาก หรืออาจใช้เบาะนุ่มๆรองนั่ง ส่วนการยืนและเดินไม่ควรเดินหนีบเพราะจะทำให้แผลเสียดสีกัน ควรเดินแยกขาห่างกันเล็กน้อย การนั่งและยืนให้ระมัดระวังไม่ควรเร็วเกินไป

การดูแลแผลฝีเย็บ
ควรล้างแผลด้วยน้ำอุ่น ไม่จำเป็นต้องใช้ยาล้างแผล เมื่อล้างเสร็จแล้วให้ใช้ผ้าหรือสำลีเช็ดให้แห้ง ไม่ควรใช้หัวฉีดหรือฝักบัวโดยตรงเพราะจะทำให้แผลเปิด โดยปกติแผลฝีเย็บจะติดกันภายใน 5-6 วัน
หลังปัสสาวะแค่ใช้น้ำสะอาดหรือน้ำอุ่นล้างก็เพียงพอ ซึ่งจะช่วยลดอาการแสบป้องกันอาการอักเสบของแผล หลังจากอุจจาระ ถ้าจะใช้ทิชชู่ให้เช็ดไปทางด้านหลัง ไม่ควรเช็ดมาทางด้านหน้าเพราะจะทำให้เกิดการติดเชื้อที่บริเวณแผลได้  หลังคลอดจะมีน้ำคาวปลาไหลซึมออกมาตลอด ต้องใช้ผ้าอนามัยตลอดและเปลี่ยนบ่อยๆ เพื่อไม่ให้เกิดการอับชื้นและอักเสบ ถ้าแผลเกิดการบวมมากการแช่น้ำอุ่นเช้า เย็น หรืออบแผลด้วยไฟฟ้า ครั้งละ 15 นาที ก็จะช่วยให้เลือดมาเลี้ยงบริเวณปากช่องคลอดมากขึ้น ทำให้อาการบวมหายเร็วขึ้น

การให้นมบุตร
การให้นมบุตร ควรให้ทารกดูดนมทันทีหลังคลอดควรดูดบ่อยๆทุกๆ 2 ชั่วโมง เพื่อกระตุ้นให้น้ำนมไหล ไม่ควรเลี้ยงบุตรด้วยนมแม่และนมขวดสลับกัน ให้ลูกดูดนมจนถึงลานหัวนมเพื่อกระตุ้นให้เกิดการหลั่งของน้ำนม และมีน้ำนมเหลือให้บีบใส่ขวดแช่ตู้เย็นไว้เพื่อไม่ให้เกิดหัวนมแตก การให้ลูกดูดนมให้ถึงลานหัวนมเพื่อให้ลูกไม่ดูดอากาศเข้าไปทำให้ลูกท้องไม่อืด การให้ลูกดื่มนมแม่ทำให้มดลูกเข้าอู่ได้เร็วขึ้น การที่ให้ลูกดูดนมให้ถึงลานหัวนม จะทำให้คุณแม่ไม่เจ็บหัวนม และทำให้ลูกท้องไม่อืด ในสัปดาห์แรกๆอาจทำให้เกิดการคัดเต้านม คุณแม่ไม่ควรใส่เสื้อชั้นในรัดเต้านมเกินไป อาจใช้น้ำอุ่นหรือขณะที่ลูกกำลังดูดนมให้คลึงบริเวณนมที่เป็นก้อนเพื่อช่วยกระตุ้นให้น้ำนมไหลมากขึ้น หากลองแล้วไม่ได้ผล น้ำนมไม่ยอมไหล ควรรีบปรึกษาแพทย์ ควรดูแลความสะอาดของหัวนมทั้งก่อนและหลังที่ลูกดูดนม แม่ควรล้างมือให้สะอาดก่อนจับหัวนม และไม่ควรใช้สบู่ฟอกบริเวณเต้านม

การอยู่ไฟ
การอยู่ไฟมีทั้งแบบโบราณและแบบสมัยใหม่ เพื่อช่วยบรรเทาอาการปวดและบำบัดโรคหลังคลอด แต่ไม่ควรนำเด็กมาอยู่ไฟด้วย และคุณแม่หลังการอยู่ไฟควรดื่มน้ำมากๆด้วย

ประจำเดือนหลังคลอด
สำหรับคุณแม่ที่ให้ลูกดื่มนมแม่ ประจำเดือนอาจจะไม่มาในช่วง 6 เดือนแรก ส่วนคุณแม่ที่ไม่ได้ให้ลูกดื่มนมแม่ ประจำเดือนจะมาปกติภายใน 4 – 8 สัปดาห์

การมีเพศสัมพันธ์หลังคลอด
หลังจากคลอดบุตรแล้วปากมดลูกจะกลับคืนสู่สภาพปกติภายในระยะ 1 สัปดาห์ ส่วนช่องคลอดถ้าจะทำให้เข้าอู่ไวขึ้นควรฝึกขมิบช่องคลอด ซึ่งสามารถทำได้หลังจากคลอดมาแล้ว  24 ชั่วโมงไปแล้ว ส่วนการมีเพศสัมพันธ์นั้น แพทย์จะสั่งให้งดการมีเพศสัมพันธ์จนกระทั่งมาตรวจสุขภาพในช่วง 4-6 สัปดาห์ หลังคลอด เพราะการมีเพศสัมพันธ์ในช่วงหลังการคลอดเสี่ยงต่อการติดเชื้อ และจะทำให้แผลฝีเย็บหายช้า

ดูแลตัวเองหลังคลอดโดยวิธีธรรมชาติ(ผ่าคลอด)
กรณีการคลอดโดยวิธีการผ่าคลอด คุณแม่ต้องเผชิญกับปัญหาในเรื่องการเจ็บปวดของแผลผ่าตัด แต่อย่างไรแล้วก็ต้องขยับร่างกาย พยายามเคลื่อนไหวร่างกายเพื่อป้องกันการเกิดพังผืดระหว่างอวัยวะในช่องท้องกับเยื่อบุช่องบริเวณผ่าตัดซึ่งเป็นสาเหตุของการปวดท้องเรื้อรังที่รักษาไม่หายขาดได้ ภายใน 1 สัปดาห์ห้ามให้แผลผ่าตัดโดนน้ำ งดอาบน้ำ ควรใช้วิธีการเช็ดตัว เพื่อทำความสะอาดร่างกายแทนการอาบน้ำ หลังจากผ่าน 1 สัปดาห์ก็อาบน้ำได้ตามปกติ หลังอาบน้ำเสร็จก็ใช้ผ้าเช็ดให้แห้งพอ ไม่จำเป็นต้องใช้แอลกอฮอล์เช็ดบริเวณแผลแต่อย่างใด ควรผักผ่อนหลับนอนในบริเวณที่มีอากาศถ่ายเท เพื่อไม่ให้เกิดเหงื่อไหลออกมา ซึ่งจะทำให้แผลอักเสบได้ คุณแม่ไม่ควรยกของหนัก หรือทำกิจกรรมใดๆที่ทำให้เกร็งกล้ามเนื้อท้อง ถ้าหากแผลเกิดการอักเสบ บวม ปวดมาก มีหนอง มีกลิ่นเหม็น ควรรีบปรึกษาแพทย์โดยเร็ว